Back to basic , go to inner .
เรียนรู้ด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า
เรียนรู้ด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า

เมย์ หรือ ปรัยรัตน์ มะรังษี  ดีไซเนอร์สาว  เจ้าของบริษัทผลิตเครื่องหนัง ของพรีเมี่ยมและของแต่งบ้าน  บริษัท ดีซายเออร์ เอ็น ดีไซน์ (Desire n Design Co.,Ltd.) อายุเพียง 30 ปี  บุคลิกภายนอกอาจตรงกันข้ามกับสิ่งที่เราประเมินไว้ ด้วยเพราะหลังจากการพูดคุย เราสัมผัสได้ถึงความสงบ สุขุม  ซึ่งสะท้อนจากสิ่งที่อยู่ข้างในความเป็นเมย์

ประวัติการศึกษา

may pic 2

จบชั้นมัธยมจากโรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ จากนั้นต่อมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาการออกแบบพัสตราภรณ์ (ออกแบบแฟชั่นและสิ่งทอ)

ทำไมถึงเลือกเรียนออกแบบ?

ตอนเด็กอยากเป็นสถาปนิก แต่เพราะไม่ได้เรียนสายวิทย์-คณิต เลยเบนเข็มมาเรียนออกแบบด้านอื่นแทน สาขาที่เราเรียนจะเน้นเรื่องการดีไซน์ การออกแบบลายผ้า และเรียนรู้รายละเอียดรวมถึงกระบวนการผลิตผ้า

may pic3

ชอบไหม?

ก็โอเคนะคะ คือตอนแรกก็งงๆ ว่ามันคืออะไร เรียนไปแล้วจะทำงานอะไรดี แต่พอเรียนไปก็เริมอิน  ได้ลองทำนู่นทำนี่ใหม่ๆ ต้องนั่งทอผ้าเป็นเดือน ต้องถักผ้า ย้อมผ้า พิมพ์ผ้า เย็บผ้า ปักผ้า เป็นอะไรที่คนทั่วไปส่วนใหญ่คงไม่เคยทำ และคงไม่คิดจะทำ (ฮ่าฮ่า)

จบปุ๊บ ทำงานปั๊บ

สมัครงานแรกในตำแหน่ง Product designer บริษัทแห่งหนึ่ง แต่เอาเข้าจริงไม่ได้ทำงานออกแบบเลย ไปทำด้าน  Sales&Marketing ได้ทำทุกอย่างที่ไม่ตรงกับปริญญาที่ได้ (ฮ่าฮ่า) เริ่มตั้งแต่หาลูกค้า,ทำพรีเซนต์,ขายงาน, ติดต่อ supplier ,คุยแบบกับช่างแพทเทิร์น, ดูไลน์การผลิต จนไปถึงนั่งแพ็คของและปิดจ๊อบด้วยการส่งของ

ทำจนได้บริษัทเค้ามา (อ่าว!!)

ตอนนั้นบริษัทเพิ่งเริ่มต้นได้ไม่นานค่ะ เมย์ได้เป็นพนักงานชุดแรก ทำงานทุกอย่างในบริษัท พอทำมาได้ระยะหนึ่ง บริษัทเค้าเริ่มมีปัญหาการเงิน พนักงานเริ่มได้รับผลกระทบ สุดท้ายก็ตามตัวเจ้าของบริษัทไม่ได้ ช่างผลิตทั้งหมดก็ถูกทิ้งเคว้งคว้าง

เริ่มต้นบริษัทเพราะความสงสาร

ก็งงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรา สงสารพนักงาน สงสารช่างที่มีอายุเยอะ ทุกคนขาดรายได้ แต่ก็ยังมีภาระที่ต้องใช้จ่าย เมย์เลยมาคิดว่าเราพอจะช่วยอะไรได้บ้าง  เออ..เราก็พอรู้ระบบการทำงานในธุรกิจประเภทนี้บ้าง ช่างเราก็มีแล้ว supplier ก็พอรู้จักบ้าง เลยลองปรึกษาครอบครัว สุดท้ายก็ตัดสินใจเปิดบริษัทเอง

may pic4

วิกฤตเป็นโอกาสให้ยืนด้วยลำแข้ง

พนักงานส่วนใหญ่จะเป็นฝ่ายการผลิต  งานแอดมินส่วนมากเมย์จะทำเอง ภาระหน้าที่ ความรับผิดชอบมันก็มากขึ้น จากที่เคยทำตามหน้าที่ของเราอย่างเดียว มันก็ไม่ได้แล้ว ต้องคิดเผื่อคนอื่น ต้องให้ลูกน้องก่อนตัวเอง

เลี้ยงตัวเองได้ไหม?

ตอนเริ่มต้นคิดว่าง่าย  ทำไปสักพักเริ่มมีเรื่องให้คิดหนัก (ฮ่าฮ่า) ทั้งปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย และปัญหาพนักงาน เราก็ต้องปรับแผนใหม่ มานั่งดูว่าต้นทุนส่วนใหญ่มาจากตรงไหน ปรับลดอะไรได้บ้าง สุดท้ายเราก็ต้องสงสารตัวเองด้วย ให้คนอื่นอิ่มแต่เราอดอยากก็อยู่ไม่ได้ จึงอดทนสู้ทำต่อมาเรื่อย ๆ ทำไปทำมาจนทุกวันนี้ก็เกือบ 7 ปีแล้วค่ะ (ยิ้ม)

ชีวิตลงตัวเมื่อเข้าสู่ทางธรรม

มีรุ่นพี่ที่รู้จักชักนำเข้าสูวงการค่ะ ซึ่งก็ประจวบเหมาะกับเป็นช่วงเริ่มทำบริษัทพอดี ตอนแรกกึ่งโดนบังคับ พี่คนที่ชักชวน เค้าเข้าวัดปฎิบัติธรรมก่อนอยู่แล้ว เค้าเองก็หมั่นชักชวนเพื่อนฝูงที่รู้จักกันให้ลองดูบ้าง ตัวเมย์เองเริ่มรู้จักการปฎิบัติธรรมจาก ชมรมผู้ปฎิบัติธรรมศาลอาญา(รัชดา)  ซึ่งจะจัดปฏิบัติธรรมทุกเดือน เดือนละ 1 ครั้ง ศุกร์-อาทิตย์ บางครั้งก็จัดที่กรุงเทพ บางครั้งก็ไปค้างที่วัดถ้ำซับมืด (วัดของหลวงปู่ทา จารุธมโม อ.ปากช่อง) ก็จะมีฟังธรรมะ ถาม-ตอบธรรมะ เดินจงกรม นั่งสมาธิ หรือจะทำอะไรก็ได้แล้วแต่ตามสะดวก

ความรู้สึกครั้งแรก

ก็ดีค่ะ ตอนเด็กคุณแม่จะมาทางด้านนี้อยู่แล้ว เด็ก ๆ เมย์ชอบอ่านหนังสือแนวกฎแห่งกรรม ตายแล้วไปไหน เกิดมาทำไม ชอบดูนิตยสารอาชญากรรมที่มีภาพศพคนตาย (มาสายสยองขวัญ) อ่านแล้วสนุกดี ดูเป็นเรื่องแปลกปาฎิหารย์ แต่พอโตขึ้นก็ห่างวัด ห่างเรื่องพวกนี้ ไป ไม่ได้ให้ความสนใจอีก

ปฏิบัติแบบงงงวย

เมย์ไม่เคยอ่านหนังสือธรรมะแบบจริงจัง ไม่เคยศึกษาแนวทางการปฏิบัติสมาธิวิปัสสนา  ครูบาอาจารย์ท่านให้ทำยังไงเราก็ทำ ทำไปก็สงสัยไป แต่ก็ทำไปเรื่อยๆ แบบงงๆ (หัวเราะ) เมย์คิดว่าการที่เราเองไม่ได้อ่านหนังสือทางนี้มาเยอะ ถือเป็นข้อดีอย่างหนึ่ง เพราะถ้าเราได้เจอครูบาอาจารย์ที่ดี เราก็เปิดรับง่าย

การปฏิบัติรูปแบบไหนที่ถูกจริตกับตัวเอง?

ในเริ่มแรกท่านเน้นให้เราเคลื่อนไหวกายเพื่อให้เราอยู่กับขณะปัจจุบัน ให้เราโฟกัสอยู่ที่การกระทำในขณะนั้น  ท่านให้เราเดินไปเรื่อยๆ จนเหนื่อย พอเหนื่อยก็พัก ทานบ้าง คุยบ้างเพื่อผ่อนคลาย แล้วก็เดินต่อ ปฏิบัติโดยที่ไม่รู้อะไรเลย เดินแบบไม่มีสติสตังค์ ทั้งเมื่อย ทั้งง่วง แต่พอเราได้ปฎิบัติภาวนาไปเรื่อยๆ เราเริ่มเข้าใจ เริ่มมีกำลังสมาธิ มีสติมากขึ้น ก็กลับมารู้ลมหายใจ ฝึกให้รู้เท่าทันจิตใจของตัวเอง ให้รู้ว่าอะไรคือความคิด อะไรคืออารมณ์ อะไรคือจิตแท้  อะไรคือการปรุงแต่ง  เราเริ่มรู้ว่าความหลงเป็นยังไง ความรู้เท่าทันเป็นยังไง  จากเดิมที่ปฏิบัติแต่เวลาไปวัด ก็นำมาปรับใช้เจริญสติในชีวิตประจำวัน สวดมนต์ ไหว้พระที่บ้าน เข้าวัดฟังธรรมบ้างตามโอกาสจะอำนวย

แต่ที่พูดไปทั้งหมดไม่ได้หมายความว่าเมย์เป็นคนธัมมะธัมโม หรือปฏิบัติจนบรรลุธรรม รู้ทุกอย่างไปหมด เรายังเป็นคนปกติ มีรัก โลภ โกรธ หลง ทุกอย่างครบ มีความอยาก มีความชังเหมือนทุกๆ คน เพียงแต่เราฝึกตัวเองให้เรารู้เท่าทันสิ่งเหล่านั้นที่เกิดขึ้น และอยู่กับมันได้โดยที่ไม่ต้องไปยุ่งกับมันเท่านั้นเองค่ะ

งานอดิเรกทำอะไร?

ก่อนหน้านี้ทำค่อนข้างเยอะ ทำงานให้สมาคมนักเรียนเก่า AFS จัดค่ายภาษาอังกฤษให้เด็ก ทำค่ายให้เด็กๆ ที่ขาดโอกาส ตามโรงเรียนต่างจังหวัด และก็สอนภาษาอังกฤษเด็กเล็กทุกวันเสาร์ แต่ตอนนี้เหลือแต่สอนภาษาอังกฤษเด็กทุกวันเสาร์ แล้วก็วิ่งเพื่อออกกำลังกายที่สวนสาธารณะวันเว้นวัน  และที่เพิ่มใหม่คือ ฝึกโยคะค่ะ (ยิ้ม)

คิดอย่างไรจึงเริ่มฝึกโยคะ?

may pic1

เมย์เคยเรียนบัลเลย์ตอนเด็กๆ เลยคิดไปเองว่าโยคะคงมีอะไรคล้ายกัน น่าจะพอทำได้ (หัวเราะ) สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ก็เคยเล่นโยคะตามฟิตเนสนะคะ แต่พอเรียนจบก็ห่างหายไป พองานเริ่มเข้าที่ก็เลยหาสตูดิโอโยคะ เพื่อที่จะเริ่มฝึกใหม่อีกรอบ ประกอบกับเราวิ่งเป็นกิจวัตรอยู่แล้ว เลยอยากหาอะไรที่มาบาลานซ์ร่างกายบ้าง

เข้าใจโยคะแค่ไหน รู้ไหมว่าโยคะคืออะไร?

สารภาพตรง ๆว่าไม่เข้าใจและไม่รู้เลยค่ะ (ฮ่าฮ่า) ก่อนหน้าที่จะมาฝึกที่ ROOTS8 เคยลองฝึกที่อื่นมาบ้าง  ไปเจอสตูดิโอที่หนึ่ง พอไปถึงก็ให้เราไหว้พระอาทิตย์เองเลย ใครอยากจะไหว้กี่รอบก็ทำไป ไม่มีการเปิดคลาสเริ่มพร้อมกัน เราก็ทำไม่เป็น ไหว้พระอาทิตย์ทำยังไงเรายังไม่รู้เลยค่ะ การใช้ลมหายใจก็ทำไม่เป็น วันนั้นเลยต้องมองคนข้างๆ ทำตามเค้าไปเรื่อยๆ จนจบคลาส กลับมาบ้านคิดอย่างแรกเลย…โยคะไม่น่าจะใช่แนวเรา (หัวเราะ)

mae yoga3

มาฝึกที่ ROOTS8 ได้ยังไง?

ตอนนั้นที่เคยลองฝึกโยคะแล้วมันไม่โอเค เมย์ยังรู้สึกค้างคาใจ  เลยลองหาสตูดิโอใหม่ พอดีช่วงนั้นมีเพื่อนมาฝึกโยคะที่ ROOTS8  (มีคนชักนำเข้าสู่วงการอีกแล้ว) เลยขอตามเพื่อนมาฝึกด้วย หลังจากนั้นก็ฝึกมาเรื่อยๆ สม่ำเสมอ ส่วนเพื่อนที่แนะนำมาตอนนี้หายไปแล้ว (หัวเราะ)

เดินทางจากท่ีทำงานค่อนข้างไกล แต่บากบั่นมาเกือบทุกวัน มาทำไม หรือว่าเสพติด?

ไม่นะคะ อาจจะด้วยนิสัยเราส่วนหนึ่ง พอเราตั้งใจจะทำอะไรแล้วเราก็จะทำเต็มที่ เหมือนการปฏิบัติธรรม เหมือนการวิ่ง คือถ้าเรารู้ว่าสิ่งที่เราทำมันดีอยู่แล้ว และไม่มีผลเสียอะไร เราก็ทำมันต่อไป ทำให้สม่ำเสมอ

คาแรคเตอร์เราเป็นคนยังไง?

คนส่วนมากจะบอกว่าถ้าเราทำหน้าเฉยๆ จะดูเย่อหยิ่ง (หัวเราะ) มองภายนอกดูเป็นคนนิ่ง ๆ แหละค่ะ แต่ภายในนี่ friendly มากนะคะ คุยได้กับทุกคน ระดับความ friendly อาจจะขึ้น ๆ ลง ๆ บ้างตามเหตุปัจจัยแต่ละวัน (ฮ่าฮ่าฮ่า)  เป็นคนค่อนข้างกระตือรือร้น ทำอะไรรวดเร็ว มีแผนการแต่อาจเปลี่ยนแผนได้ตลอดเวลา (หัวเราะ) ชอบเรียนรู้ ลองนู่นลองนี่   มองอะไรตามความเป็นจริง เราไม่ใช่คนปลอบประโลมโลกสวย และก็ไม่ใช่คนมองโลกในแง่ร้าย เอาง่ายๆ เป็นคนตรงไปตรงมาแต่ไม่ปากหมาค่ะ (หัวเราะ)

มีใครเป็นต้นแบบ?

อืม…..ไม่มีค่ะ เมย์ว่าทุกคนมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เมย์จะเอาสิ่งที่ดีของคนอื่นมาปรับใช้ให้เข้ากับตัวเรา และเอาข้อเสียของเค้ามาเรียนรู้ เมย์ไม่ชอบเรียนตามตำรา ชอบเรียนรู้ด้วยตัวเอง  ลองทำดูทุกอย่าง ทำได้หรือไม่ได้ ดีหรือไม่ดีก็ค่อยว่ากัน ถ้าทำแล้วดีแล้วก็ทำไปเรื่อยๆ พัฒนาให้ดีขึ้น ถ้าเราทำแล้วไม่ดีเราก็ไม่ฝืน

ฝึกโยคะมา 1 ปีได้อะไร?

อย่างแรกที่เห็นได้ชัดเลยคือ ร่างกายแข็งแรงขึ้น เมย์เข้าฟิตเนสมาหลายปียังไม่มีกล้ามเนื้อเท่าการฝึกโยคะปีนึง อีกอย่างคือทำให้เรามีสมาธิมากขึ้น  อยู่กับตัวเองมากขึ้น

mae2

รู้หรือเปล่าว่าโยคะจริงๆแล้วไม่ใช่แค่ฝึกอาสนะน่ะ

ก็เพิ่งมารู้ตอนนี้แหละค่ะ (หัวเราะ) อย่างที่บอกไปตอนแรกว่าไม่รู้และไม่เข้าใจเลยว่าโยคะคืออะไร  เราไม่เคยศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับโยคะโยคีเลย ฝึกแต่อาสนะอย่างเดียว

แล้วการฝึกโยคะมีผลอะไรต่อการใช้ชีวิตของเราบ้าง?

สำหรับความเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ มันเกิดขึ้นจากเพราะเราปฏิบัติภาวนาอยู่แล้ว  ส่วนการฝึกโยคะอาจจะช่วยเรื่องสมาธิ  เพราะเรานิ่งขึ้น อยู่กับตัวเองมากขึ้น ส่งจิตออกนอกน้อยลง

มุมมองเรื่องชีวิตคู่?

เมย์มองว่าการมีคู่ชีวิตเหมือนเป็น extra bonus คือเมย์เชื่อว่าเราควรเข้าใจตัวเองให้ได้มากที่สุดก่อน  ยืนให้ได้ด้วยตัวเองก่อน ก่อนที่จะไปรักคนอื่น หรือขอความรักจากคนอื่น ถ้าเรายังไม่รู้จักตัวเองดี และยังไม่รู้จักพอ ทั้งตัวเราและคู่ครองของเราก็คงไม่มีความสุข  เมย์ว่าความต้องการของคนเราเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆตลอดเวลาตามเหตุปัจจัย ถ้าเราทำให้ชีวิตเราขึ้นอยู่กับคนอื่น มันก็คงยากที่เราจะหาความสุขเจอ

แล้วคู่ครองมีมุมมองเหมือนเราไหม?

คิดว่าปัจจุบันน่าจะมีมุมมองเดียวกันนะคะ (หัวเราะ) แรกเริ่มเลยเค้าก็ไม่สนใจ เห็นเป็นเรื่องไกลตัว ยังไม่ถึงเวลา เราเองก็ไม่ก้าวก่าย แค่บอกกล่าว แต่ว่าไม่ชวน ไม่บังคับ เมย์เชื่อว่าคนทุกคนมีเวลาของตัวเอง ถ้าเค้าเห็นความเปลี่ยนแปลงของเรา และถ้าเค้าคิดว่าสิ่งที่เราทำมันดี ถึงเวลาเค้าก็มาเอง.….

หลังจากเทียวรับเทียวส่งเมย์ไปวัด ฟังธรรมผ่านๆ อยู่สักพัก เค้าก็ได้บวช ศึกษาธรรมมากขึ้น ตั้งแต่นั้นมาก็เริ่มมีมุมมองเดียวกันค่ะ (หัวเราะ)

คนส่วนใหญ่ฝึกโยคะก็มุ่งแต่ฝึกอาสนะ บางคนอาจใช้โยคะเพื่อบำบัด เพื่อขจัด เพื่อบรรเทา เพื่อเยียวยา เพื่อออกกำลังกาย หรือเพื่อเติมเต็มอะไรก็ตาม โยคะไม่เคยให้โทษใคร เช่นเดียวกับที่โยคะช่วยเสริมกิจวัตรของเมย์ รู้ว่าดีก็ฝึกต่อไป ไม่มีกรอบ ไม่มีการคาดหวัง ไม่มีคำถาม ไม่หาคำตอบ ฝึกไปเรื่อยๆ ทำให้ดีขึ้น พร้อมเปิดรับวิถีแห่งการเรียนรู้ด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า โยคะอาสนะจึงกลายมาเป็นกิจกรรมหนึ่งในชีวิตประจำวันที่ช่วยส่งเสริมในเรื่องที่เมย์มุ่งดำเนินเป็นหลัก

บางครั้ง สิ่งที่เราอาจไม่รู้ว่าทำเพื่ออะไร มันอาจไม่มีผลใหญ่ๆให้เห็นเป็นรูปธรรมทันทีทันใด วิถีแห่งโยคะ ก็คือวิถีแห่งการใช้ชีวิตประจำวันให้เป็นปรกติสุข ธรรมชาติ ธรรมดาๆ เพียงเท่านี้นี่เอง

 

คาเฟ่บางรัก

12 กุมภาพันธ์ 2559

 

 

 

 

 

 

Posted by Roots8Yoga 0 Comments

0 comments

The comments are closed